ในนามไร่องุ่นอุดมฉวี ตั้งอยู่หมู่ 5 บ้านกุดนาดี ต.หนองแสน อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม จนสามารถเก็บผลผลิตขายได้กว่าปีละ 2 แสนบาท เขาก็ไม่แตกต่างไปจากชาวบ้านทั่วไปในละแวกเดียวกัน คือมีอาชีพทำนา ได้ผลิตไม่แน่นอน เพราะประสบภัยแล้งทุกปี ในที่สุดลุงเริ่มเกิดแนวคิดที่จะปลูกพืชผสมผสานตามแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ไปศึกษาดูงานตามสถานที่ต่างๆ และนำความรู้ที่ได้มาปรับเปลี่ยนพื้นที่ไร่นาให้เป็นพื้นที่ปลูกพืชผสมผสาน คือพื้นที่ทั้งหมด 27 ไร่ แบ่งเป็นที่ทำนาข้าว 10 ไร่ ไว้กินเองในครอบครัว หากเหลือก็ขายบ้าง ส่วนที่เหลือ 17 ไร่ ขุดสระน้ำเพื่อกักเก็บน้ำ 2 บ่อ ลึก 3 เมตร ใช้พื้นที่ 6 ไร่เศษ ที่เหลือปลูกไม้ผล อาทิ มะม่วง มะพร้าว ลำไย ขนุน กระท้อน มะละกอ และองุ่นปลอดสารพิษด้วย ลุงเริ่มปลูกองุ่นมีพื้นที่ 1 ไร่เศษ มีต้นองุ่นกว่า 500 ต้น เริ่มปลูกตั้งแต่ปี 2545 ใช้เงินลงทุนที่กู้มาจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 8.5 หมื่นบาท ปลูกเพียง 1 ปีก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตขายปีแรกได้เงิน 1.5 แสนบาท ในแต่ละปีสามารถตัดขายได้ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ขายปลีกราคากิโลกรัมละ 60 บาท ขายให้พ่อค้าที่ไปรับถึงที่กิโลกรัมละ 35-40 บาท แต่ละปีจะได้ผลผลิตองุ่นกว่า 8 ตัน สร้างรายได้ปีละกว่า 2 แสนบาท ติดหนี้ ธ.ก.ส. 5 แสนบาท พอปลูกองุ่นได้ 4 ปีปลดหนี้ได้หมด "การดูแลไร่องุ่นก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ให้น้ำให้ปุ๋ยสม่ำเสมอ ยึดหลักใจเขาใจเรา เราต้องการอะไรต้นไม้ก็ต้องการแบบนั้น โดยเฉพาะการให้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก เพราะดินในภาคอีสานถือว่าเป็นดินที่มีคุณภาพต่ำ เราต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ" ลุงเริ่มกล่าว นับเป็นเกษตรกรตัวอย่างอีกคนหนึ่ง ที่นำเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้จนประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม --คมชัดลึก ฉบับวันที่ 9 มิ.ย. 2553 (กรอบบ่าย)--

อ้างอิงจาก www.pandinthong.com