เช่นจากเดิมที่ออกมามากแบบพีคสุด ๆ ช่วง 15-30 พ.ค.และจะไปวายเอากลางเดือนมิ.ย. มาปีนี้ช่วงกลางเดือนพ.ค.ผลไม้ก็ทำท่าจะหมดสวนกันแล้ว ชาวสวนระยองท่านหนึ่งบอกว่า ปกติช่วงกลางเดือน พ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวแห่มาเที่ยวสวนเพื่อเก็บกินผลไม้กันแบบสด ๆ โดยชาวสวนคิดค่าหัวคนละ 80-100 บาท ปีหนึ่ง ๆ ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ปีนี้ทำได้ไม่กี่วันก็ต้องปิดสวน ทำให้กลุ่มลูกค้าเดิม ๆ ที่วางแผนจะมาเที่ยวต้องกินแห้วแทนเงาะ มังคุดและทุเรียนกันเป็นแถว

นอกจากสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน สิ่งที่ทำให้ผลไม้ออกจากสวนได้เร็วส่วนหนึ่งก็มาจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่วางระบบการจัดการไว้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเงินทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการระบายผลไม้ เพื่อให้ผลผลิตไปถึงมือผู้บริโภคเร็วที่สุด การหาช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น

กระบวนการที่ว่ามีเรื่องการทำกระติกน้ำแข็งขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นรวมอยู่ด้วย สาเหตุก็เนื่องมาจากอากาศที่ร้อนจัด ทำให้การขนส่งผลไม้ด้วยรถบรรทุก เกิดรอยช้ำและเน่าเสียง่าย เมื่อไปถึงปลายทางทำให้ขายไม่ได้ วิธีการแก้ปัญหาที่ว่านี้ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.หรือที่เรียกกันว่า สกต. บอกว่า ได้มีการดัดแปลงรถบรรทุกเป็นกระติกน้ำขนาดใหญ่เคลื่อนที่ โดยปูผ้านวมและกระสอบล้อมรอบ นำน้ำแข็งก้อนขนาดใหญ่วางล้อมรอบ จากนั้นนำตะกร้าผลไม้ขึ้นมาจัดเรียง แทรกระหว่างแถวด้วยก้อนน้ำแข้ง เหมือนแช่ผลไม้ในกระติก ในส่วนของตะกร้าผลไม้แต่ละใบก็ผ่านกระบวนการคือ นำใบตองรองพื้นรอบตะกร้า ใส่ผลไม้จนเกือบเต็ม นำไปจุ่มน้ำเย็นจัด ๆ นำขึ้นมาพักใช้ฟองน้ำปิดด้านบนตามด้วยน้ำแข็งและคลุมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้นหนึ่ง วิธีการนี้ทำให้การขนส่งผลไม้ไปยังปลายทาง เช่น เวียดนาม จีน มาเลเซียยังคงสดใหม่ โดยรถบรรทุกแต่ละคันจะมีต้นทุนค่าน้ำแข็งประมาณ 2,800 บาทต่อคัน สามารถบรรทุกผลไม้ได้ 540-550 ตะกร้า ๆ ละ 17.5 กิโลกรัมหรือประมาณ 9 ตัน รวมค่าบริหารจัดการทั้งหมดจะมีต้นทุนที่คันละไม่เกิน 30,000 บาท เทียบการการเช่าห้องเย็นเพื่อใช้ขนส่งในปริมาณที่เท่ากันจะตกอยู่ที่ประมาณ 60,000 บาท ประหยัดเห็น ๆ ....ฟังว่าชาวเวียดนามที่ได้มีโอกาสกินเงาะ มังคุดของไทยแบบสด ๆ ในราคาที่ไม่แพงต่างติดอกติดใจกันเป็นแถว จึงสั่งออเดอร์ล่วงหน้าข้ามปีมาอีกเพียบ!! ฉะนั้นปีหน้าถ้าใครกินผลไม้ไม่จุใจเหมือนเช่นที่ผ่านมาก็ต้องโทษเจ้ากระติกยักษ์นี่แหล่ะตัวต้นเหตุ

•พรพรหม จักรกริชรัตน์•

13 ตุลาคม 2553

Copy to clipboard